วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

บุคลสำคัญของจังหวัดชัยภูมิ
พระยาภักดีชุมพล เดิมชื่อ"แล" เป็นชาวนครเวียงจันทน์ เคยรับราชการเป็นพี่เลี้ยงราชบุตรในเจ้าอนุวงศ์แห่งอาณาจักรล้านช้าง (ขณะนั้นเป็นประเทศราชของไทย) ในสมัยรัชกาลที่ 2 พ.ศ. 2360 นายแลได้อพยพไพร่พลข้ามแม่น้ำโขงมาตั้งบ้านเรือนที่บ้านน้ำขุ่นหนองอีจาน (อยู่ในเขตอำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา) ต่อมาได้ย้ายไปตั้งใหม่ที่บ้านโนนน้ำอ้อม บ้านชีลอง (อยู่ในเขตอำเภอเมืองชัยภูมิ) และได้ทำราชการส่งส่วยต่อเจ้าอนุวงศ์ เจ้าอนุวงศ์จึงตั้งให้นายแลเป็นที่ขุนภักดีชุมพลนายกองนอก
ใน พ.ศ. 2365 ขุนภักดีชุมพลได้ย้ายชุมชนมาอยู่ที่บ้านหลวง ซึ่งอยู่ระหว่างบ้านหนองหลอดกับบ้านหนองปลาเฒ่า ในเขตอำเภอเมืองชัยภูมิปัจจุบัน เนื่องจากสถานที่เดิมเริ่มคับแคบ ไม่พอกับจำนวนพลเมืองที่เพิ่มขึ้น
พ.ศ. 2367 ได้ที่การพบบ่อทองที่บริเวณลำห้วยชาด นอกเขตบ้านหลวง ขุนภักดีชุมพลจึงได้นำทองในบ่อนี้ไปส่วยแก่เจ้าอนุวงศ์และขอยกฐานะบ้านหลวงขึ้นเป็นเมือง เจ้าอนุวงศ์จึงประทานชื่อเมืองแก่ขุนภักดีชุมพลว่า เมืองไชยภูมิ และเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้เป็นพระภักดีชุมพล ทว่าต่อมาพระภักดีชุมพลได้ขอเอาเมืองไชยภูมิขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมา และส่งส่วยแก่กรุงเทพมหานครแทน ไม่ขึ้นแก่เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์อีกต่อไป[ต้องการอ้างอิง] พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านหลวง(เมืองไชยภูมิ)เป็นเมืองชัยภูมิ และแต่งตั้งพระภักดีชุมพล (แล) เป็นพระยาภักดีชุมพล (แล) เจ้าเมืองชัยภูมิคนแรก สร้างความไม่พอใจแก่ทางฝ่ายเวียงจันทน์อย่างมาก
ในสมัยรัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์ก่อการกบฏต่อกรุงเทพเพื่อแยกตัวเป็นเอกราช โดยยกทัพเข้าตีเมืองนครราชสีมา แต่เห็นว่าจะทำการต่อไปได้ไม่ตลอด จึงเผาเมืองนครราชสีมาทิ้ง[ต้องการอ้างอิง] และถอนทัพกลับไปตั้งรับที่เวียงจันทน์ ระหว่างทางกองทัพเจ้าอนุวงศ์เกิดความปั่นป่วนจากการลุกฮือของครัวเรือนที่กวาดต้อนไปเวียงจันทน์ ขณะพักทัพอยู่ที่ทุ่งสำริด พระยาภักดีชุมพล (แล) ได้ยกทัพไปสมทบกับคุณหญิงโมและครัวเรือนชาวเมืองนครราชสีมา ทำการตีกระหนาบกองทัพของเจ้าอนุวงศ์จนแตกพ่าย เจ้าอนุวงศ์เกิดความแค้นที่พระยาภักดีชุมพลไม่ยอมให้ความร่วมมือกับฝ่ายลาว ซ้ำยังยกทัพมาช่วยฝ่ายไทยตีกระหนาบทัพลาวอีกด้วย จึงย้อนกลับมาเมืองชัยภูมิ จับตัวพระยาภักดีชุมพล (แล) ประหารชีวิต ที่บริเวณใต้ต้นมะขามริมหนองปลาเฒ่า[ต้องการอ้างอิง]
การเสียชีวิตของพระยาภักดีชุมพล (แล) ในครั้งนั้น เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ชาวเมืองชัยภูมิจดจำตลอดมา และระลึกถึงว่าเป็นวีรกรรมครั้งสำคัญของท่าน[ต้องการอ้างอิง] ต่อมาชาวเมืองชัยภูมิจึงเรียกขานท่านด้วยความเคารพว่า "เจ้าพ่อพญาแล" และได้มีการสร้างศาลไว้ตรงสถานที่ที่พระยาภักดีชุมพล (แล) ถูกประหารชีวิต ที่บ้านหนองปลาเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 225 (ชัยภูมิ - บ้านเขว้า) ต่อมาในพ.ศ. 2511 ทางราชการได้สร้างศาลขึ้นใหม่ ให้ชื่อว่า "ศาลพระยาภักดีชุมพล (แล)" และจัดให้มีงานสักการะเจ้าพ่อพญาแลทุกปี โดยเริ่มจากวันพุธ แรกของเดือน 6 เป็นเวลา 7 วัน เรียกว่า "งานเทศกาลบุญเดือนหก ระลึกถึงความดีของ เจ้าพ่อพญาแล" ถือเป็นงานใหญ่ประจำปีของชาวชัยภูมิ และใน พ.ศ. 2518 ทางราชการร่วมกับพ่อค้าและประชาชนชาวชัยภูมิ สร้างอนุสาวรีย์ของพระยาภักดีชุมพล (แล) ประดิษฐานอยู่ตรงวงเวียนศูนย์ราชการ ปากทางเข้าสู่ตัวเมืองชัยภูมิ
ลูกหลานของพระยาภักดีชุมพล (แล) ที่ได้รับราชการเป็นเจ้าเมืองชัยภูมิคนต่อๆ มา ล้วนได้รับยศและบรรดาศักดิ์เป็นที่พระยาภักดีชุมพลทุกคน รวมทั้งสิ้น 5 คน ส่วนเจ้าพ่อพญาแลได้เป็นพระยาภักดีชุมพลได้ 4 ปี เป็นเจ้าเมืองชัยภูมิถึง 10 ปี[1]




ปู่ด้วง เดิมเป็นชาวอำเภอขุนขัน จังหวัดศรีสะเกษ (ไม่ทราบว่าอยู่บ้านอะไร) เมื่อเเต่งงานเเล้ว มีบุตร 2 คน ต่อมาก็อพยพจากบ้านเดิมมาตั้งหลักฐานอยู่ที่บ้านตาดโตน ตำบลนาฝาย อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ มีถานะมั่นคง สมัยเจ้าพ่อพระยาแลเป็นเจ้าเมืองชัยภูมิ ได้ปู่ด้วงนี้เป็นครูประสิทธิ์ประสาทเวทย์มนต์คาถาวิชาอาคมให้ จนเจ้าพ่อพระยาแลสามารถเรียนสำเร็จวิชาอาคมอยู่คงกระพันชาตรีถึงขนาดฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก
ต่อมา เจ้าอนุวงศ์ ผู้ปกครองประเทศลาว คิดจะยกทัพไปตีกรุงรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพฯในสมัยราชการที่ 2 ) และได้ยกทัพผ่านมาทางจังหวัดชัยภูมิ ชักชวนเจ้าพ่อพระยาแลให้ร่วมยกทัพไปตีกรุงรัตนโกสินทร์ด้วยกัน (เจ้าพ่อพระยาแลท่านก็มาจากประเทศลาวเหมือนกัน )แต่เจ้าพ่อพระยาแลท่านปฏิเสธไม่ยอมไปด้วย และยังได้สั่งคนไปแจ้งข่าวให้ย่าโมทราบว่าเจ้าอนุวงศ์ จะยกทัพผ่านมาทางโคราชด้วย เมื่อเจ้าอนุวงศ์ยกทัพมาถึงเมืองโคราช ย่าโมก็ใช้กุศโลบายทำทียินยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ต้อนรับขับสู้อย่างดี โดยนำสุรามามองเมาบรรดาทหาร ในกรองทัพเจ้าอนุวงศ์ทหาร ในกองทัพของเจ้าอนุวงศ์ทหารหาญทั้งหลายไม่คิดระแวงระวังว่าจะถูกหลอก ก็พากันดื่มกินสนุกสนานอย่างเต็มที่จนหลับไหลไม่ได้สติ ทหารหาญของย่าโมซึ่งได้เตรียมพร้อมอยู่แล้วก็ได้ใช้อาวุธเข้าประหัตประหารทำให้ทหารลาวล้มตายเป็นจำนวนมาก เกือบทั้งหมดเหลือรอดชีวิตเพียงเจ้าอนุวงศ์และทหารไม่กี่คนที่หนีเอาตัวรอดได้ ด้วยความผูกใจเจ็บแค้นเจ้าพ่อพระยาแล เจ้าอนุวงศ์จึงได้ย้อนกลับมาเมืองชัยภูมิอีกครั้ง จับเจ้าพ่อพระยาแลไปฆ่า แต่ฟันอย่างไร้ก็ไร้ผล เพราะท่านเจ้าพ่อพระยาแล ท่านเป็นศิษย์เอกปู่ด้วงรักและประสิทธิ์ประสาทเวทมนต์ คาถาอาคมให้ จนอยู่ยงคงกระพันยิงไม่เข้า ฟันไม่เข้า ก็ใช้เหล็กแหลมเสียบทวารหนัก ผลที่สุดเจ้าพ่อพระยาแลก็เสียชีวิตอยู่ที่หนองปลาเฒ่า ซึ่งตั้งศาลอยู่จนทุกวันนี้

เมื่อปู่ด้วงและภรรยา ทราบข่าวก็กลัวว่าภัยนี้จะตกมาถึงตัวจึงรีบหลบหนีออกจากบ้านตาดโตนเข้าป่าดงลึก พอแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วจึงได้ปลูกบ้านพักอาศัยที่กลางดงป่าหินโงมตรงที่เป็นตำบลเก่าย่าดีทุกวันนี้ ปัจจุบันก็มีวัดปู่ด้วง-ยาดีปรากฏแก่สายตาลูกหลาน พอมาใช้ชีวิตแบบชาวป่า ปู่ด้วงท่านก็ได้ถือศีลกินเจไม่กินอาหารที่ปรุงด้วยเลือดเนื้อ ท่านเป็นผู้ที่มีภูมิจิต ภูมิธรรม มีเมตตาบารมีสูง ท่านสามารถเอาชนะใจคนทั้งหลาย แม้แต่สัตว์ที่ดุร้าย เช่น ช้าง เสือ ท่านยังสามารถโน้มน้าวจิตวิญญาณให้มาเป็นบริวารห้อมล้อมท่านได้ ในยามอับจนถึงจะต้องหนีเข้าป่า แต่ก็เป็นการถอยแบบมีศักดิ์ศรี ม่านเป็นผู้มีประวัติอันดีงาม มีจิตเป็นกุศล ศรัทธาสัมมาทิฐิแน่วแน่ มั่งคงต่อทางกุศล เป็นบุคคลสำคัญที่ควรแก่การสรรเสริญ และควรที่อนุชนรุ่นหลังจะให้ความสำคัญและศึกษาเอาเยี่ยงอย่าง เป็นปูชนียบุคคลที่ควรแก่การเคารพกราบไหว้บูชา



ย่าดี เกิดที่บ้านโสกคลอง อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ แต่งงานแล้วมีลูก 1 คน ได้ย้ายจากบ้านเดิมมาอยู่ที่บ้านตาดโตน ย่าดีเกิดคนละสมัยกับปู่ด้วง หลังจากปู่ด้วงได้เสียชีวิตแล้วประมาณ 20 ปี จึงมีเรื่องย่าดีปรากฏขึ้น โดยมีผู้เล่าประวัติว่า เมื่อย่าดีกับสามีและลูกตั้งรกรากอยู่บ้านตาดโตน ก็อยู่ร่วมสุขร่วมทุกข์เรื่อยมาจนแก่เฒ่า ตอนหลังสุด ย่าดีเกิดล้มป่วยเป็นไข้ ล้มหมอนนอนเสื่อลุกไปไหนมาไหนไม่ได้เป็นเวลาแรมปี ยาอะไรก็ช่วยไม่ได้หมอก็หมดปัญญา นอนรอดวันตาย คืนหนึ่งย่าดีฝันไปว่าปู่ด้วงถามว่า อยากหายหรืออยากตาย ย่าดีตอบว่าอยากหาย ยังไม่อยากตาย เพราะยังไม่ได้สร้างบุญกุศลพอเพียง อยากอยู่ทำบุญทำกุศลเสียก่อน จะตายจริงก็ไม่ว่า ปู่ด้วงเลยบอกว่า ถ้าอยากหายให้เข้าไปจำศีลภาวนาที่บ้านกลางป่าซึ่งเป็นบ้านที่ปู่ด้วงเคยอยู่จำศีบภาวนามาก่อนแล้วจะหายป่วย ย่าดีดีใจมากเล่าให้ญาติพี่น้องฟัง พร้อมกับบอกให้เขาพาไปที่ที่ปู่ด้วงบอก เพราะความอยากหายญาติพี่น้องจึงหามแปลไป พลไปถึงชายป่าย่าดีก็ทีเรี่ยวแรงลุกขึ้นมาเองอย่างน่าอัศจรรย์ ผลที่สุดไปถึงบ้านเก่าปู่ด้วงเคยอยู่จำศีลภาวนา อยู่อย่างสบายจนสิ้นอายุขัย

นับเป็นประวัติที่น่าสนใจและน่าศึกษา แสดงถึงผลงานแห่งการที่มีจิตเป็นกุศลศรัทธาสัมมาทิฐิแน่วแน่มั่งคง แม้ล้มป่วยอยู่ หามไปบนแคร่ เดินไม่ได้แรมปี ก็กลับสามารถลุกเดินได้ บำเพ็ญเพียรภาวานาจนกลายเป็นผู้ทีภูมิจิตภูมิธรรมสู. สามารถโน้มน้าวจิตวิญญาณสัตว์ดุร้ายให้มาเป็นบริวาร ดำรงชีพอยู่ในดงสัตว์ดุร้าย เช่น ช้าง เสือ ได้โดยไม่เป็นอันตราย จึงนับเป็นอานิสงส์ของการถือศีลกินเจ ท่านจึงเป็นปูชนียบุคคลอีกผู้หนึ่งที่เราทั้งหลายควรกราบไหว้บูชา





    
 พระไกรสิงหนาทในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ราว ร.ศ. 28 (พ.ศ.  2352)  ในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมืองเกษตรสมบูรณ์ มีเจ้าเมืองปกครองชื่อ  หลวงไกรสิงหนาท ขึ้นตรงต่อกรุงรัตนโกสินทร์           หลวงไกรสิงหนาท เป็นลูกเจ้าเมืองเวียงจันทน์ เข้ามาในประเทศไทยพร้อมกับเจ้าพ่อพระยาแล  หลวงไกรสิงหนาท เป็นผู้มีอำนาจวาสนา ปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินด้วยความร่มเย็นเป็นสุข มีความดีความชอบ และจงรักภักดีต่อพระเจ้ากรุงสยาม  จึงได้เลื่อนชั้นบรรดาศักดิ์เป็นพระไกรสิงหนาท เนื่องจากท่านไม่มีบุตร และธิดา เมื่ออายุมากหากล้มตายลงเกรงว่าบ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวาย แย่งชิงอำนาจขึ้นจึงมอบอำนาจให้ นายฦาชา  ซึ่งเป็นหลานชายและรายงานให้กรุงรัตนโกสินทร์รับทราบ  นายฦาชา หลานชายได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวงไกรสิงหนาท เป็นเจ้าเมืองเกษตรสมบูรณ์ คนที่ 2 ท่านได้ทำความดีความชอบ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง  ซื่อสัตย์สุจริต จึงได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระไกรสิงหนาทในเวลาต่อมา พระไกรสิงหนาท(ฦาชา)  มีบุตรชาย  3 คน คือ ท้าวบุญมา ท้าวบุญคง  และท้าวบุญจัน  เมื่อชราภาพลงได้รายงานกรุงรัตนโกสินเพื่อมอบอำนาจให้ท้าวบุญมา บุตรชายคนที่ 1 เป็นเจ้าเมืองแทน และได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวงไกรสิงหนาท (บุญมา)  
       ส่วนพระไกรสิงหนาท(ฦาชา) ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยาภักดีฦาชัยจางวาง  เมื่อ ร.ศ. 115(พ.ศ. 2439)  ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) หลวงไกรสิงหนาท ซี่งได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองแกล้ว ได้ย้ายเมืองจากกุดเงือก(บ้านยาง) ไปตั้งเมืองที่บ้านโนนเสลา(ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอภูเขียว)  เห็นว่าเหมาะสมและอยู่กึ่งกลางพอดี  เหมาะแก่การปกครอง เพราะอาณาเขตของเมืองเกษตรสมบูรณ์กว้างใหญ่มาก (เขตอำเภอแก้งคร้อ บ้านแท่น ภูเขียว คอนสาร หนองบัวแดง ภักดีชุมพล อยู่ในอำเภอเกษตรสมบูรณ์สมัยนั้น) หลวงไกรสิงหนาทเป็นเจ้าเมือง ท่านไม่ได้เก็บส่วยภาษีจากราษฎร ท่านให้กรมการเมืองนำราษฎรไปขุดร่อนทองคำที่เขาพระยาฝ่อในเขตตำบลนางแดด( อำเภอหนองบัวแดงปัจจุบัน) หลอมเป็นแท่ง ๆ ส่งไปถวายแก่เจ้ากรุงสยามเป็นเครื่องราชบรรณาการทุกปี ด้วยความดีความชอบได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระไกร���ิงหนาทคนที่  3  
   พระไกรสิงหนาท(บุญมา) ได้ย้ายเมืองจากบ้านโนนเสลา ไปตั้งที่บ้านลาดหนองสามหมื่น(เขตอำเภอภูเขียว) และย้ายเมืองมาตั้งที่บ้านยาง คือ ที่ตั้งอำเภอเกษตรสมบูรณ์ในปัจจุบัน ให้กรมการเมืองปลูกสร้างจวนอย่างใหญ่โต มีการสร้างกำแพงเมือง โดยเอาซุงมาตัดเป็นท่อนฝังเป็นพืดล้อมรอบจวนเจ้าเมือง  และปลูกต้นตาลเป็นแถวสำหรับผูกช้าง  และท่านพิจารณาว่าตำบลนางแดด  และตำบลหนองบัวแดงอยู่ไกลยากแก่การติดต่อราชการ จึงรายงานไปยังกรุงรัตนโกสินทร์  ขอแต่งตั้งให้พระชุมพลภักดี ปกครองตำบลนางแดดและตำบลหนองบัวแดง  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอเกษตรสมบูรณ์
          พระไกรสิงหนาทเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้ากรุงรัตนโกสินทร์มาก เป็นเจ้าเมืองที่ปกครองประชาชนด้วยความร่มเย็นเป็นสุข  ท่านเป็นคนซื่อสัตย์  สนใจพระพุทธศาสนา ชาวอำเภอเกษตรสมบูรณ์  จึงถือว่าท่านเป็นผู้สร้างและพัฒนาให้เกิดอำเภอเกษตรสมบูรณ์  จนถึงปัจจุบัน 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น